พระราชวังต้องห้ามสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิจีนในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง การก่อสร้างใช้เวลากว่า 17 ปี แผนผังของพระราชวังเป็นแนวตารางสี่เหลี่ยมตัดกัน ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงทั้งสี่ด้าน ประตูทางเข้าหันออกทางทิศใต้ อาคารสำคัญตั้งเรียงตามแนว "เหนือ-ใต้" ได้องศาตรงตามหลักฮวงจุ้ย
เรียกได้ว่าพระราชวังต้องห้ามเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมแห่งภูมิพยากรณ์
ภายในพระราชวังต้องห้ามแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ได้แก่ "วังหน้า" ใช้เป็นเขตสำหรับจักรพรรดิออกว่าราชการ และ "วังหลัง" ใช้เป็นอาณาเขตของเหล่าสนมนางในพร้อมด้วยเชื้อพระวงศ์
เมื่อผ่านพ้น "ประตูอู่เหมิน" ทางทิศใต้จะพบสามตำหนักใหญ่ในเขตวังชั้นนอก เริ่มจาก "พระตำหนักไท่เหอ" พระที่นั่งสร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่และงดงามที่สุด ใช้เป็นสถานที่ว่าราชการและประกอบพิธีกรรมสำคัญ
ถัดจากตำหนักไท่เต๋อเป็น "พระตำหนักจงเต๋อ" สถานที่ประทับก่อนออกว่าราชการและใช้เป็นจุดรับเครื่องบรรณาการจากทูตต่างแดน สุดท้ายจึงเป็น "พระตำหนักเป่าเหอ" สถานที่จัดงานเลี้ยงและสอบจอหงวน จากนั้นจะพบ "ประตูเฉียนชิงเหมิน" อันเป็นเส้นแบ่งระหว่างพระราชวังชั้นนอกกับชั้นใน
สำหรับพระราชวังชั้นในเป็นอาณาเขตต้องห้ามของบุรุษเพศ ยกเว้น "จักรพรรดิ" (เจ้าของบ้าน) และ "ขันที" (ไม่ใช่ชายเต็มตัว) ภายในมีตำหนักน้อยใหญ่หลายหลัง อุทยานกว้างขวาง ตำหนักที่ประทับของกษัตริย์ ราชนิกุลฝ่ายในและเหล่าขันที
สถานที่แห่งนี้ยากจะหาความสงบสุขได้จากปัญหาการแก่งแย่งชิงดีของสนมนางใน หากไม่คิดจะเป็นใหญ่ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวไปจนหมดลมหายใจ
แม้พระราชวังต้องห้ามจะไม่มีจักรพรรดิอาศัยอยู่แล้ว แต่ความยิ่งใหญ่อลังการของนครต้องห้ามแห่งนี้ยังคงน่าเกรงขามและสง่างามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมร่วมกับพระราชวังกู้กงเสิ่นหยางภายใต้ชื่อ "พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง" ในปี 1987 จากองค์การยูเนสโก